เทศน์เช้า วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ชาติ... ชาติการเกิด เห็นไหม ว่าชาติการเกิด คนดีเพราะการเกิด ไม่ใช่ดีเพราะการบวช เห็นไหม เวลาว่าดีเพราะการเกิด เกิดเป็นคน เราว่าดีเพราะการเกิด เกิดเป็นคนมั่งมีศรีสุข เกิดเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เกิดแล้วนี่มันมีโอกาสในการประพฤติปฏิบัติไง ดีโดยการฝึกฝนต่างหากล่ะ
ถ้าดีโดยการฝึกฝน เห็นไหม ถ้าเราเกิดมาแล้วนี่ คนเราเกิดมามีอำนาจวาสนา ทำสิ่งใดมีความจงใจ มีความมั่นคง มีจุดยืน คนๆ นั้นทำงานสำเร็จ ถ้าคนใดทำงานแล้วไม่มีความมั่นคง ไม่มีจุดยืน เห็นไหม ได้ความโลเล สิ่งนั้นมันเป็นอะไรล่ะ คนที่ว่าเขาโลเล เขาบอกว่าเขาทำด้วยความมั่นคงของเขา มันอยู่ที่มุมมองไง มุมมองของแต่ละบุคคลที่มองมา
นี่ว่าดอกไม้อยู่ในป่านี่อยู่กระจัดกระจาย ถ้าเอามาร้อยเป็นพวงมาลัย ดอกไม้จะสวยงาม เห็นไหม ดอกไม้สวยงามเพราะใคร? เพราะคนที่เขาร้อยพวงมาลัย ประเพณีวัฒนธรรมของสังคมไทยก็เหมือนกัน มันเหมือนประเพณีของสังคมไทย แต่ประเพณีคนละท้องถิ่น การทำบุญกุศลไง ประเพณีนี่ถ้ามั่นคงนะ ประเพณีทำผิดพลาดนี่สังคมเขาติเตียน สังคมเขามองด้วยสายตาเหยียดหยามเลยนะ แต่มันเป็นการยอมรับ เห็นไหม
นี่ก็เหมือนกัน ว่าคนโลเล เราว่าเรามั่นคง เราแข็งแรง แต่สังคมเขาเห็น สังคมเขามองอยู่ เห็นไหม คนจะดี ดีที่การฝึกฝน พระจะดีอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ การประพฤติปฏิบัติ การฝึกฝนน่ะจะประพฤติปฏิบัติมาให้เราเป็นคนดี หรือพระดี หรือพระไม่ดี พระดีพระไม่ดีดูกันที่ไหน เห็นไหม ดูที่ข้อวัตรปฏิบัติ
ข้อวัตร สิ่งที่ได้มา ได้มาโดยธรรม คำว่าธรรมเห็นไหม ดูว่าได้มานี่ ได้มาโดยธรรม ถ้าเราใช้สอยโดยธรรม อันนั้นก็ไม่ผิดธรรมวินัย แต่ยังมักน้อยสันโดษอีกไหม สันโดษ สันโดษในอะไร? เพราะสันโดษในความเป็นธรรม ถ้าเป็นธรรมนะ นี่อาหารเป็นสัปปายะ ถ้าอาหารเป็นสัปปายะ สิ่งใดฉันแล้วสิ่งนั้นเป็นประโยชน์กับร่างกาย นั้นเป็นสัปปายะ
แต่ถ้าเป็นสัปปายะของธรรม เห็นไหม นี่ขนาดว่าทำไมต้องผ่อนอาหาร การผ่อนอาหารเพื่อจะเปิดให้ธรรมมันได้ก้าวเดิน ธรรมก้าวเดินที่ไหน? ธรรมก้าวเดินในหัวใจไง ถ้าเราอยู่ที่ไหน ดูสิ ถ้าเราฉันมาก เราเดินเคลื่อนไหวไปนี่มันจะอืดอาดมากเลย แต่ถ้าอาหารเรานะ นี่พอประทังชีวิต แต่มันจะเปิดให้ความสะดวกของร่างกาย ให้หัวใจมันได้ออกก้าวเดิน ถ้าหัวใจออกก้าวเดินนะ มันจะทำความสงบของใจได้ง่าย มันจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมา นี่อยู่ที่ธรรม อยู่ที่หัวใจ
ถ้าหัวใจเป็นธรรม เห็นไหม สิ่งที่ว่ามักน้อยสันโดษ มักน้อยสันโดษเพื่ออะไร? มักน้อยสันโดษมาเพื่อจะไปเอาสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่า ไม่ใช่มักน้อยสันโดษมาทรมานตนหรอก สิ่งที่ว่าทรมานตน เห็นไหม นี่ว่าอัตตกิลมถานุโยค ทำให้ลำบากเปล่า คนมองด้วยสายตาว่าลำบากเปล่า
ดูสิ ดูคนงานเหมืองแร่ เขาขุดแร่ เขาขุดลงไปในใต้ดินน่ะ ลึกขนาดไหนนี่เป็นงานลำบากไหม แต่ถ้าเขาได้แร่ทองคำขึ้นมานี่ เขาได้แร่ทองคำขึ้นมานะ ได้แร่สิ่งนั้นมีคุณค่าไหม มีคุณค่านะ แต่เราว่างานนั้นเป็นงานที่ลำบาก เพราะเรามองอย่างนั้นไง แต่เราไม่ได้มองแบบชาวเหมืองนี่ ชาวเหมืองเขาทำแร่ของเขา เขาต้องพยายามใช้ความสามารถของเขาลงไปเอาแร่ธาตุขึ้นมาเพื่อเป็นสมบัติของเขา เขาไม่ได้ลำบากเปล่าหรอก เขาได้ผลประโยชน์ เขาได้ผลประโยชน์ของเขา แต่งานที่เราไม่เคยทำ เราก็เห็นว่าเป็นความลำบากเปล่า
นี่ก็เหมือนกัน ทำไมไม่อยู่กันสุขสบาย สุขสบายนะ เห็นไหม การปล่อยวางนี่ ถ้ามันปล่อยวาง หิวก็กิน ง่วงก็นอน นี่คือการสิ้นกิเลส สิ่งนั้นพูดได้ต้องเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าเราเป็นผู้ใฝ่ก้าวเดินอยู่ คนจะพูดได้ เห็นไหม เศรษฐีเขามีเงินทองมหาศาลเลย เขาจะพูดอย่างนั้นได้ เพราะอะไร? เพราะเขามีเงินทองจับจ่ายใช้สอยของเขา เราคนทุกข์คนเข็ญใจ เราต้องหาเลี้ยงชีพ เลี้ยงชีวิตของเรา เห็นไหม ยังต้องหาเพื่อบำรุงครอบครัว เพื่อดูแลหมู่คณะของเรา
สิ่งนั้นมันจะบอกว่า หิวก็กิน ง่วงก็นอน ไอ้นั่นมันเป็นผู้ที่มีธรรม สอุปาทิเสสนิพพาน นี่พระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ เศษส่วนนี่ภาระ เห็นไหม ขันธ์...ขันธ์เป็นภาระ ขนาดที่ว่าเราพาขับพาถ่ายร่างกายนี้ก็เป็นภาระแล้ว สิ่งที่เป็นภาระ เพราะอะไร? เพราะมันพาขับพาถ่าย แต่ถ้าหัวใจน่ะ ถ้าไม่มีร่างกายล่ะ ดูสิเรามีความสุขอยู่ตลอดเวลา เห็นไหม สิ่งนี้มันเป็นภาระ มันถึงว่าง่วงก็นอน หิวก็กิน
แต่ถ้ายังแสวงหาอยู่นี่ จะกินอะไร ง่วงก็นอน นอนได้ หิวจะกิน เอาอะไรกิน มันไม่มีจะกิน เห็นไหม ถ้าไม่มีจะกินเราก็ต้องแสวงหาของเรา ถ้าแสวงหาของเรานี่ เราทำของเรามา ถ้าเราทำของเรามา สิ่งนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา เป็นความจริงของเรา ถ้าเป็นความจริงของเรา นี่ธรรมเกิดตรงนี้ไง ธรรมเกิดตรงที่มันไม่หวั่นไหว
เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการมหาศาลเลย พราหมณ์นิมนต์ไว้ให้ไปจำพรรษาแล้วลืมใส่บาตร นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม ภิกษุทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ เวลาออกไปนี่พอดีเขาลืมใส่บาตร แล้วเกิดทุกข์จนเข็ญใจพอดีเลย เวลาออกไปบิณฑบาต ไม่ได้กลับมา พอดีมีพ่อค้าโคต่างไง เขามีอาหารเลี้ยงม้าของเขาเป็นข้าวกล้อง เห็นไหม เอามาบดนะ พระอานนท์น่ะบด บดให้เป็นผง เอาน้ำพรมให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฉันนะ
นี่แล้วทำไมไม่ทำให้สุกล่ะ เพราะอะไร? เพราะทำอย่างนี้ปั๊บ มันจะไปฝืนกับธรรมวินัย ถ้าฝืนธรรมวินัยนี่ ภิกษุทำอาหารให้สุกเองไม่ได้ แล้วถ้าไปทำให้สุก ทำให้อาหารสุก เห็นไหม เพื่ออะไร? เพื่อมาเลี้ยงปาก เพื่อมาเลี้ยงกระเพาะ เพื่อจะให้ร่างกายมันมีอาหารของมัน แต่หัวใจเราทำผิด เราทำผิดธรรมวินัย ถ้าทำผิดธรรมวินัยมันเป็นความเศร้าหมอง สิ่งที่เป็นเศร้าหมอง เห็นไหม ถ้าจิตเศร้าหมอง จิตผ่องใส ถ้าจิตเศร้าหมอง เห็นไหม ความทำความสงบของใจมันเป็นไปได้ไหม? มันเป็นไปไม่ได้
ถ้าความรื่นเริงอาจหาญล่ะ ถ้าเราถูกต้องตามทำนองคลองธรรม เราทำด้วยความถูกต้องตามศีลธรรม เห็นไหม มันจะมีความองอาจกล้าหาญ ความองอาจนี่มันผ่องใส ถ้ามันผ่องใสมันทำของมันได้ เห็นไหม นี่คือสิ่งที่ด้วยความถูกต้องนะ แล้วถ้าอดนอนผ่อนอาหารล่ะ ผ่อนอาหารก็เพื่อตรงนี้ไง เพื่อไม่ให้ร่างกายมันทับไง เวลาเราภาวนาของเรา เห็นไหม สมบัตินะถ้าเรารู้สิ่งใดมีคุณค่า เราก็แสวงหาสิ่งนั้น เราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง สุขอื่นใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี
สุขอื่นใดนะที่เขาไปแสวงหากัน เขาไปเที่ยวพักผ่อนกัน เพื่อความสุขของเขา เพื่อผ่อนคลายของเขา ผ่อนคลายขนาดไหนนะมันเป็นเรื่องของภายนอก เหมือนกับเราร้อนเราก็อาบน้ำ มันก็เย็นขึ้นมา แต่หัวใจเวลามันร้อนเอาอะไรไปอาบมัน อยู่ในห้องแอร์ อยู่ในสิ่งที่อุณหภูมิต่ำขนาดไหน ถ้าหัวใจมันร้อน มันก็ร้อนอยู่บนนั้นล่ะ นี่สิ่งนี้มันต้องอาศัยธรรมะ
ถ้านี่ความสงบของใจอันนี้ สุขใดเท่ากับความสงบของใจไม่มี แล้วเราแสวงหาความสงบของใจ ถ้าสิ่งที่มันขัดแย้ง สิ่งที่มันเป็นสิ่งที่กีดขวาง เราเดินไปบนถนนนี่ ถนนมันมีสิ่งกีดขวางหมดเลย แล้วเราจะผ่านถนนนั้นไปได้อย่างไร นี่ก็เหมือนกัน ธาตุขันธ์มันกีดขวาง กีดขวางเพราะอะไร? เพราะกำลังของธาตุ กำลังของร่างกายมันมีกำลังของมันมาก
ดูสิ วัยรุ่นเขาให้เล่นกีฬากัน เขาให้ออกกำลังกายกัน ก็เพื่ออะไร? ก็เพื่อให้แข็งแรงไง นี่ๆ ผ่อนคลายพลังงานที่เหลือใช้ เห็นไหม แล้วผู้ที่ประพฤติปฏิบัติมันมีสิ่งนี้ มันถึงอดนอนผ่อนอาหารเพื่อตรงนี้ไง ไม่ให้เป็นขวากเป็นหนาม เพื่อให้หัวใจมันเข้าไปสู่ความสงบของมัน หัวใจนะ หัวใจเวลามันคิดออกมานี่ มันคิดมันยึดของมัน ความคิด เห็นไหม ความคิดว่าเร็วกว่าแสงๆ นี่ ความคิดมันเกิดจากไหน ความคิดไม่ใช่เรา มันเกิดดับๆ แต่เราไม่สามารถยับยั้งมันได้เลย
แต่ถ้าเมื่อใดเราทำความสงบของใจขึ้นมานี่ ความสุขมันเกิดจากตรงนี้ไง ถ้าความสุขเกิดจากตรงนี้ สิ่งปัจจัยเครื่องอาศัย ปัจจัย ๔ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ปฏิเสธปัจจัย ๔ นะ ภิกษุต้องมีปัจจัย ๔ บริขาร ๘ นี่คือปัจจัย ๔ เห็นไหม ธมกรกก็เพื่อน้ำ บาตรก็เพื่ออาหาร จีวรก็เป็นเครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรคก็ด้วยน้ำดองมูตรเน่า สิ่งนี้มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย ของที่มันมีอยู่ ที่สามารถดำรงชีวิตได้แล้ว
ถ้าดำรงชีวิตได้ ดำรงชีวิตไว้เพื่ออะไร? ดำรงชีวิตไว้เพื่อแสวงหาความสงบของใจ ถ้าใจมันสงบนะ ใจมันสงบแล้วมีปัญญาขึ้นมาชำระหัวใจอันนี้ ถ้าชำระหัวใจอันนี้ ความสุข เห็นไหม ความสุขเท่ากับความสงบไม่มี แล้วความสุขจากความสิ้นกิเลสมันยิ่งกว่าความสงบอีกนะ เพราะความสงบนี่มันเป็นฐานของใจ เห็นไหม จรวดหรือสิ่งที่เครื่องอวกาศที่เขายิงออกไปจากโลกนี่ เขาต้องมีฐานยิงออกไป
นี่ก็เหมือนกัน ปัญญาที่มันจะเกิดขึ้นมาชำระกิเลสของเรานี่ มันต้องเกิดมาจากใจของเรา ไม่ใช่เกิดจากตู้พระไตรปิฎก ตู้พระไตรปิฎกเป็นที่แสวงหา เป็นที่ค้นคว้า ตู้พระไตรปิฎกถ้าเป็นสิ่งที่ว่าแก้กิเลสได้นะ โรงพิมพ์ตู้พระไตรปิฎกเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว สิ่งนั้นเป็นแต่ทฤษฎี แล้วเราไปศึกษามา เห็นไหม แล้วปัญญาเกิดที่ฐาน คือภวาสวะ คือฐีติจิต คือจิตของเรานี้ จิตของเรานี้เป็นที่ฟุ้งซ่าน จิตของเรานี้เป็นที่ก่อกิเลส
แล้วถ้าจิตสงบเข้ามานี่ เข้ามาฐานที่นี่ แล้วถ้าปัญญาของเราเกิด นี่ปัญญาของเรา ธรรมและวินัยเรากราบนะ เรากราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เห็นไหม เวลาเรากราบรัตนะ เป็นรัตนะ สิ่งที่เป็นแก้วสารพัดนึก นึกขึ้นมา เห็นไหม เด็กๆ มันก็นึก ทำบุญกุศลขึ้นมานี่ ไปวัดไปวาก็ได้ไปเที่ยววิ่งเล่น นี่เด็กๆ รัตนะของมันคือมีความสุขของมัน ถ้าผู้ใหญ่ของเรา เราก็ต้องการสิ่งนี้เป็นที่ให้เราอยู่ในโลกนี้ได้มีความมั่นคง
แต่ถ้าผู้ที่สละเข้าไปนี่ ความมั่นคงของชีวิต เราแสวงหา ดูสิ เวลาเราสร้างตึกรามบ้านช่อง เห็นไหม สร้างตึกสูงขนาดไหน ตึกนั้นมันต้องเสื่อมสภาพไปเป็นธรรมดา มันต้องมีการซ่อมแซมบำรุงรักษาตลอดไป ร่างกายก็เหมือนกัน เวลาปฏิสนธิออกมา คลอดออกมาจากครรภ์ของมารดานี่ มันต้องเติบโตขึ้นมา แล้วมันก็ต้องเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา เห็นไหม
การสร้างสมขนาดไหน มันก็เป็นเรื่องสมบัติของโลก มันต้องเสื่อมสภาพไป มันเป็นอนิจจัง มันต้องแปรสภาพไปเป็นธรรมดา ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ถ้าเราแสวงหาขนาดไหน มันก็เป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เป็นเรื่องของโลกนี้เท่านั้น
แต่ถ้าเรื่องของหัวใจ เห็นไหม เรื่องของหัวใจ เรื่องของธรรม เรื่องของธรรมที่เราแสวงหากันนี่ เราเป็นชาวพุทธอยู่นี่ ถ้าเราแสวงหาธรรม ถ้าธรรมอันนี้มันชำระขึ้นมา มันสะอาดขึ้นมา มันปล่อยวางขึ้นมาจนถึงที่สุด เห็นไหม นี่สิ่งนี้ไม่มีการบุบสลาย จิตที่เป็นธรรมแล้วไม่มีการบุบสลาย จะคงที่ของมันตลอดไป คงที่แบบไม่เป็นอัตตานะ
ถ้าเป็นการคงที่ ตึกรามบ้านช่องสิ่งที่เป็นแร่ธาตุ จะมีความเข้มแข็งขนาดไหน มันอยู่ในกฎของอนิจจังทั้งหมด มันต้องเป็นไป มันเป็นอนัตตา มันต้องทำลายตัวเองมันทั้งหมด ไม่มีอะไรคงที่ ขนาดแข็งขนาดไหนก็ไม่คงที่ แต่สิ่งที่เป็นนามธรรมนี่มันคงที่ คงที่เพราะอะไร? คงที่เพราะมันไม่มีสิ่งใด สิ่งใดสิ่งอวิชชา สิ่งที่เป็นเครื่องเศร้าหมองเข้าไปแปรสภาพไง
นามรูปมันมีช่องว่าง ช่องว่างมีอากาศ ช่องว่างอากาศมันมีการเคลื่อนไหวไป เห็นไหม มันแปรสภาพ มันหมุนเวียนไป ในหัวใจน่ะถ้ามันไม่เป็นธรรมขึ้นมา มันมีกิเลสอยู่ในหัวใจ เห็นไหม ช่องว่างของกิเลสมันทำให้เราคิด ทำให้จิตมันบกพร่อง ดูขวดน้ำสิ ถ้าขวดน้ำนั้นน้ำน้อยเขย่าขวดจะดังมาก เพราะอากาศในขวดนั้นมันมีมาก
นี่ก็เหมือนกัน กิเลสใครมากมันก็ช่องว่างมาก ช่องว่าง เห็นไหม ช่องว่างของใจ นามรูปไง เพราะช่องว่างเกิดขึ้น มันหมุนไป ความคิดเกิดแล้ว นี่นามรูป นามรูปที่เกิดขึ้นคือเกิดขึ้นจากตั้งแต่ตัวอวิชชาเลย มันเป็นนามรูปที่นั่น มันมีช่องว่างของมัน มันมีกิเลสของมัน กิเลสกับธรรมมันมีช่องว่าง แต่ถ้าเราไปถมจนเต็ม ชำระกิเลสจนช่องว่างนั้นไม่มี ช่องว่างนั้นไม่มีเลย...เต็ม น้ำเต็มขวด ขวดนั้นเต็ม น้ำไม่มีช่องว่างเลย น้ำนั้นจะไม่มีเสียงสิ่งใดเลย มันไม่มีความพร่องไง จิตนั้นไม่เคยพร่อง จิตนั้นอิ่มเต็ม ถ้าจิตนั้นอิ่มเต็ม มันไม่แปรสภาพไป ไม่เหมือนกับวัตถุ เห็นไหม
วัตถุนี่สิ่งใดก็แล้วแต่ มันต้องมีสิ่งที่บำรุงรักษาตลอดไป แม้แต่ความสงบของใจ ทำสมาธิได้ก็ต้องมีเหตุ เหตุเกิดเพราะอะไร? เหตุเพราะตั้งสติ เหตุเพราะเรารักษา เห็นไหม ตั้งแต่ปัจจัยเครื่องอยู่อาศัย ปัจจัยนี่เครื่องอยู่อาศัย ถ้าอาศัยใช้มันเกินกว่าเหตุ มันจะทำให้จิตเศร้าหมอง ถ้ามันเป็นอกุศล แต่ถ้ามันใช้โดยถูกธรรมเป็นกุศล แต่เราไม่มีปัญญา เราใช้มากเกินไป มันก็ไปกดถ่วงใจ
สิ่งนี้ตั้งแต่ความเศร้าหมอง หรือความผ่องใสของจากภายนอก แล้วขึ้นมาจากภายใน เห็นไหม นี่กรรมอันนี้มันมหัศจรรย์มากนะ เพราะอะไร? เพราะที่เราเกิดกันมานี่ เกิดกันมาเพราะกรรมนะ แล้วถ้าเราไม่มีกรรมต่อกัน จะไม่เกิดมาเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกัน จะมีกรรมต่อกัน กรรมอันนี้มันพาเกิดพาตาย แล้วสิ่งนี้มันพัวพันกันมา ความพัวพันกันมา เห็นไหม นี่สายบุญสายกรรม มันมีสายบุญสายกรรมนะ เราถึงเกิดมาเชื่อ ถึงเกิดมาศรัทธา ศรัทธาในอะไร?
ศรัทธา ศาสนานี่เป็นนามธรรมนะ คำสั่งสอนนี่เป็นนามธรรม ศาสนาไม่ใช่สิ่งวัตถุ ไม่ใช่วัดวาอาราม ไม่ใช่ทั้งสิ้นเลย อารามๆ เป็นที่อยู่ของผู้มีศีล เป็นที่อยู่ของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ อาราม เห็นไหม นี่มันเป็นที่พักอาศัยชั่วคราวเท่านั้นล่ะ แต่ถ้าเราปฏิบัติของเรา เข้าไปรู้ธรรมของเรา ถ้าเราเห็นจริงจากหัวใจของเรา เห็นไหม นี่ตู้พระไตรปิฎกเป็นธรรมและวินัยที่เป็นทฤษฎี
แต่ถ้าธรรมเกิดจากเรา เกิดจากใจของเรา นี่โอปนยิโก เรียกร้องสัตว์ทั้งหลายมาดูธรรม เราเรียกร้องความรู้สึกเราไง เรียกร้องความคิดไง นี่ความสงบจากภายใน ที่ลึกในหัวใจนี่ ความรู้สึกมันอยู่ที่นี่ ความรู้สึกมันอยู่ที่เรา เห็นไหม นั่งสมาธิอยู่โคนไม้ก็มีความสุข นี่เข้าฌานสมาบัติ เห็นไหม แล้วก็มีความสุข ถ้าเข้านิโรธนี่ดับหมดเลย ๗ วัน ๗ คืนนั่งอยู่ได้ตลอด มันมีความสุข สุขมาก แล้วออกจากนิโรธสมาบัติมา เห็นไหม นี่เพราะอะไร? มันสะอาดออกมา ใครทำบุญกุศลกับพระภิกษุที่ออกนิโรธสมาบัติจะมีบุญกุศล บุญกุศลรู้ไม่รู้ก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ว่าถ้าทำได้จริง เห็นไหม ในปัจจุบันนี้เราปฏิเสธนะ นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ เวลาเรานักวิชาการ เวลาทำวิจัยกันต่างๆ ทางวิชาการน่ะมีปัญญามาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก พระไตรปิฎกนี่นะ เป็นแค่ใบไม้ในกำมือเท่านั้น ความรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่รู้สิ่งต่างๆ ที่พูดออกมาแล้วเขาแบบ มันจะเป็นไปได้อย่างไร นี่ ไม่พูดออกมาให้เขาโต้แย้งไง สิ่งที่ความรู้จริงอันนี้มหาศาลเลย
แต่เวลาเราวิจัยกัน เรื่องแค่พระไตรปิฎกก็เอาไปวิเคราะห์วิจัยกันว่าเป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ก็ว่ากันไปตามแต่ความมืดบอดของใจ ใจมืดบอดขนาดนั้นก็วิเคราะห์วิจัยได้ด้วยความมืดบอด แล้วถ้ามีแสงหิ่งห้อยขึ้นมาในความเห็นหน่อยเดียว แหม...สิ่งนั้นสุดยอดๆ แต่ไม่สามารถเอาตัวรอดได้เลย
แต่ถ้ามันมีความเห็นของเราขึ้นมา เราปฏิบัติธรรมของเราขึ้นมาในหัวใจของเรานี่สว่างขึ้นมาในหัวใจของเรา เห็นไหม ธรรมเกิดมาจากใจของเรา ความสุขเกิดมาจากใจของเรา ความรู้แจ้งเกิดมาจากใจของเรา กิริยาของใจ อาการของกายที่มันการกระทำ กิจจญาณ กิจของปัญญาที่มันหมุนไป ที่มรรคญาณมันเกิดขึ้นมา มันทำลายหัวใจ ทำลายกิเลสอันนั้นน่ะ สิ่งนี้สำคัญมาก
เพราะอะไร? เพราะมันเป็นประสบการณ์ตรง นี่ภาคปฏิบัติมันเป็นประสบการณ์ตรงของใจดวงนั้น เห็นไหม เหมือนนักกีฬา เคยเล่นกีฬา เคยประสบการณ์มหาศาลเลย นี่จะมีเทคนิค จะมีประสบการณ์อันนี้ จะเข้าใจมองเกมออกหมด เห็นไหม มองเกม มองเกมของกิเลสไง กิเลสมันหลอกหัวใจ พูดแบบที่ว่ามันจะมีเกมหลอกในหัวใจมันคอยหลอกลวงอยู่ตลอดเวลา แล้วเราก็ว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม สิ่งนั้นโดนกิเลสมันชักนำนะ ชักจูงไปว่าสิ่งนั้นเป็นธรรม นี่สัจธรรมปฏิรูป มันปฏิรูปขึ้นมา มันสร้างภาพขึ้นมาว่าเป็นสภาวธรรมไง เพราะสิ่งนี้เป็นสิ่งที่กิเลสชอบกัน เห็นไหม
ดูสิ เวลาทางวิชาการเขาเขียนวิชาการออกมานี่ จะซึ้งใจมาก อ่านแล้วมีความรู้สึกซึ้งใจมาก เพราะอะไร? เพราะมันเป็นสมมุติ สิ่งที่สมมุติมันเกิดจากอาการของใจ ใจมันคิดขึ้นมา มันแต่งขึ้นมา เห็นไหม มันก็เข้ากับสิ่งที่เป็นสมมุติได้ เพราะจิตเราเป็นสมมุติ เพราะมันมีกิเลสอยู่ในสมมุติ
แต่ว่าถ้าเป็นธรรมๆ นี่ ใจเราก็มีความสามารถจะรับได้ เป็นภาชนะที่รับได้ แต่เราไม่เคยรู้จัก เราไม่เคยเห็น เห็นไหม เหมือนกับอาหารที่มีคุณภาพจะรสจืด จะมีคุณค่า อาหารที่ไม่มีคุณภาพ เห็นไหม รสเข้มข้น แต่ไม่มีคุณภาพกับร่างกาย แล้วโลกเป็นอย่างนั้นนะ ชอบแสง สี เสียง สิ่งใดๆ ที่เป็นแสง เป็นสี เป็นเสียง เป็นสิ่งที่ว่าสิ่งที่เป็นมหรสพสมโภช... ชอบนัก
แต่เวลาพระอรหันต์ ๑,๒๕๐ องค์ เอหิภิกขุที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบวชให้ บวชทั้งกาย แล้วเอหิภิกขุบวชทางใจ ใจเป็นพระอรหันต์ขึ้นมา สโมสรสันนิบาตนั่งอยู่เงียบๆ สิ่งนี้มันเกิดขึ้นมาจากไหนล่ะ มันเป็นความสุขได้อย่างไรล่ะ แต่โลกมองต่างกัน ความเห็นของโลกไง มันถึงขวดน้ำพร่อง น้ำพร่องในหัวใจ มันถึงต้องเวียนตายเวียนเกิด
แต่ถ้าน้ำเต็มในหัวใจ จะไม่เวียนตายเวียนเกิด จะเต็มในหัวใจ แล้วจะเป็นความสุขที่ว่าสุขๆ นี่ไม่ต้องไปให้ใครหลอกลวง ไม่ต้องให้ใครเป็นคนจินตนาการ ไม่ต้องให้ใครมาชักนำ เพราะมันจะเป็นความสุขจากใจของเราเอง ใจของเราเท่านั้นเป็นผู้สุขผู้ทุกข์ ใจของเราเท่านั้นเป็นผู้เกิดผู้ตาย ใจของเราเท่านั้นแสวงภพแสวงชาติ ใจของเราเท่านั้นจะต้องเวียนไป
ถ้าเราไม่มีเครื่องบุญกุศลส่งเสริมให้เป็นทางดี แล้วมีปัญญาเป็นภาวนามยปัญญาเข้ามาแก้กิเลส ไม่ใช่จินตมยปัญญา ไม่ใช่สุตมยปัญญา ทฤษฎีสุตมยปัญญาที่ใคร่ครวญกัน สิ่งนี้เป็นวิชาการของโลกเขา เป็นโลกียปัญญา
โลกุตตรปัญญา เห็นไหม แล้วเกิดภาวนามยปัญญา จะชำระใจดวงนี้ให้เต็มได้ ใจดวงนี้เต็มจะไม่พร่อง ไม่มีอากาศ ไม่มีกิเลสทำให้หัวใจพร่อง แล้วก็หมุนไปเวียนไปเกิดในวัฏฏะอีก เห็นไหม นี่สิ่งนี้เกิดขึ้นมาจากเรา ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐตรงนี้ไง
พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นแก้วสารพัดนึก แต่นึกตรงไหน นึกแบบเด็กๆ นึกแบบวัยรุ่น นึกแบบผู้มีประสบการณ์ในชีวิต หรือนึกแบบผู้มีบุญ มีบุญมันเชื่อ มันเชื่อแล้วมันศรัทธา มันศรัทธาถึงมีการกระทำ เพราะมันเป็นนามธรรม เอวัง